Follow Us :
02-258-0317-8

กรุงเทพฯ – เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 เวลา 10.00 น. สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย (Thai Tuna Industry Association – TTIA) ร่วมกับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ Friend of the Sea (FOS), สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายสินค้าอาหารของสหราชอาณาจักร (British Food Importers & Distributors Association) และ International Pole and Line Foundation (IPNLF) ได้ชี้แจงและให้ความเห็น เรื่อง อนาคตอุตสาหกรรมทูน่าในตลาดโลก ประเด็นการใช้ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน และการทำประมงถูกกฎหมาย ณ ห้องคอรันดัม โรงแรมแชงกลีร่า กรุงเทพฯ ในช่วงงานสัมมนาทูน่าโลก 2559

โดยมีรายชื่อผู้นำเสนอดังนี้ Click to download their Press Release

  1. ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์, นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย
  2. นายเปาโล เบย์ (Mr. Paolo Bray), Founder and Director of Friend of the Sea (FOS)
  3. นายอัลโดโฟ วาลเซลชี (Mr. Adolfo Valsecchi), Chairman of Conference of World Tuna 2016
  4. นายวอลเตอร์ แอนเซอร์ (Mr. Walter Anzer), Director General of British Food Importers & Distributors Association
  5. นางสาวนาตาเลีย เวปสเตอร์ (Ms. Natalie Webster), Vice Chair of International Pole and Line Foundation (IPNLF)

ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ปริมาณวัตถุดิบปลาทูน่าของโลกที่จับได้มีจำกัดปีละประมาณ 5 ล้านตัน ในจำนวนนี้ ประเทศไทยนำเข้าผลิตและแปรรูปส่งออกสัดส่วน 15-18% ของปริมาณปลาทูน่าที่จับได้ หรือ คิดเป็นปริมาณ 7-8 แสนตันต่อปี ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการทำประมงที่ยั่งยืน เช่น การใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะปลาทูน่า การส่งเสริมการทำประมงที่ถูกกฎหมาย การเป็นหน่วยงานที่จะดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศตน เป็นต้น

ดร.ชนินทร์ฯ ชึ้แจงว่า “ จุดยืนของสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยต่อหลักการแก้ไขปัญหา IUU-fishing ยึดมั่นใน 4 หลักการ ดังนี้ ”

  1. ยึดมั่นตามหลักวิชาการและข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ (Base on Scientific Data) ของ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) หรือ กรมประมง (Department of Fisheries) หรือ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ดีที่สุด เพื่อนำ มาแก้ไขการจัดการทรัพยากรทางทะเลของไทยให้ดีขึ้นตามหลักสากล
  2. ยึดมั่นในกรอบกฎหมายสากล (Base on Legal Framework) ของ FAO หรือ UNCLOS 1982 ซึ่งกฎหมายต่อต้านการประมงของสหภาพยุโรปก็ต้องอิงกับหลักกฎหมายของ FAO และ UN เช่นเดียวกัน
  3. ยึดมั่นหลักการปฏิบัติอย่างโปร่งใส (Base on Transparency) ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต้องเปิดเผยและเป็นเอกสารที่สามารถอ้างอิงและต้องตรวจสอบได้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (Stakeholder) กับเรื่อง IUU
  4. ยึดมั่นหลักการความร่วมมือในการแก้ปัญหา (Base on Constructive Cooperation) ซึ่งเป็นหลักการที่เป็นหัวใจของกฎหมายต่อต้านการประมงผิดกฎหมายของสหภาพยุโรป โดยการช่วยเหลือและร่วมมือกับประเทศที่ 3 เช่น ประเทศไทย ให้มีการแก้ไข ปรับปรุงด้านต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรประมงของไทยเอง

ดร.ชนินทร์ฯ กล่าวอีกว่า “ สมาคมฯ ยอมรับและเห็นด้วยกับการที่ประเทศไทยและคณะกรรมาธิการ(EU Commission) ให้ความ สำคัญต่อการปรับปรุงแหล่งทรัพยากรประมงของไทย และยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ”

จากข้อเสนอแนะของสหภาพยุโรป ในการแก้ไขที่ยั่งยืน สิ่งที่ควรต้องปรับปรุงโดยเร็ว (Short coming) ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

  1. กรอบกฎหมาย (Legal Framework) การออกกฎหมายลูก 65 ฉบับ ภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันออกกฎหมายลูกมาแล้ว 35 ฉบับ
  2. ระบบติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวัง (MCS, Monitoring, Control and Surveillance System) เช่น ระบบติดตามตำแหน่งเรือ (VMS, Vessel Monitoring System) ซึ่งตามหลักการ FAO IUU Fishing การติดตั้งระบบดังกล่าว เพื่อที่จะควบคุมและติดตามทำประมงของเรือประมงขนาดใหญ่ ซึ่งกำหนดให้ควบคุมเฉพาะเรือประมงที่มีขนาด 24 เมตร เป็นหลัก (หรือเรือ 30 ตันกรอสส์ ขึ้นไป เป็นหลัก)
  3. การทำประมงเกินขนาด (Overfishing) หลักข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของแต่ละประเทศ ในการวัดปริมาณสูงสุดของสัตว์น้ำที่จะจับมาใช้ประโยชน์ได้ (MSY: Maximum Sustainable Yields) ยกตัวอย่างเช่น กรณีเรือประมงอียูที่จับปลาทูน่าครีบเหลืองในมหาสมุทรอินเดีย จากที่เคยอยู่ระดับ Green ปัจจุบันกลายเป็นระดับ Red ซึ่งก็ต้องแก้ไขตามหลักการดังกล่าว เช่นเดียวกับประเทศไทย ก็ต้องหาค่า MSY ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

ดร.ชนินทร์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ จากหลักการข้างต้น หากรัฐบาลและสมาคมฯ ในฐานะเอกชน ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายตามหลักการดังกล่าว โดยขอให้ยึดหลักการสากลไว้เป็นจุดยืนและถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในทุกประเทศ ”